เช็คด่วน! 7 อาการต้องระวังหากขับรถ
ปัญหาสุขภาพของตัวผู้ขับขี่เป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้าม เพราะถือเป็นหนึ่งปัจจัยที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน เพื่อความปลอดภัยของตัวคุณและเพื่อนร่วมทาง วันนี้ Chowa จึงนำ 7 อาการของโรคที่มีผลต่อการขับรถมาให้ตรวจสอบเพื่อเฝ้าระวังกันค่ะ
1. ผู้ที่มีอาการทางสายตา
หากมีอาการเกี่ยวกับสายตาเหล่านี้ ควรหลีกเลี่ยงการขับรถตอนกลางคืน
- จอประสาทตาเสื่อม โดยผู้ที่จอประสาทตาเสื่อมจะมองเห็นเส้นทางในช่วงเวลากลางคืนไม่ชัดเจน
- ต้อหิน ต้อกระจก จะมีมุมในการมองเห็นแคบและมองเห็นแสงไฟพร่ามัวจึงเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ
1. ผู้ที่มีอาการทางสายตา
หากมีอาการเกี่ยวกับสายตาเหล่านี้ ควรหลีกเลี่ยงการขับรถตอนกลางคืน
- จอประสาทตาเสื่อม โดยผู้ที่จอประสาทตาเสื่อมจะมองเห็นเส้นทางในช่วงเวลากลางคืนไม่ชัดเจน
- ต้อหิน ต้อกระจก จะมีมุมในการมองเห็นแคบและมองเห็นแสงไฟพร่ามัวจึงเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ
2. เป็นโรคพาร์กินสันหรือลมชัก
ผู้ป่วยพาร์กินสันจะมีอาการมือสั่น เท้าสั่น เกร็ง ทำอะไรช้า ขับรถได้ไม่ดี ถ้าอาการรุนแรงจะเกิดภาพหลอนร่วมด้วย หากขับรถอาจก่อให้เกิดอันตรายได้ หรือในผู้ที่มีอาการลมชัก หากอาการกำเริบ อาจชักกระตุกจนหมดสติไปได้ ซึ่งเกิดจากความผิดปกติของการส่งสัญญาณไฟฟ้าในสมอง จึงควรหลีกเลี่ยงการขับรถด้วยตนเอง
2. เป็นโรคพาร์กินสันหรือลมชัก
ผู้ป่วยพาร์กินสันจะมีอาการมือสั่น เท้าสั่น เกร็ง ทำอะไรช้า ขับรถได้ไม่ดี ถ้าอาการรุนแรงจะเกิดภาพหลอนร่วมด้วย หากขับรถอาจก่อให้เกิดอันตรายได้ หรือในผู้ที่มีอาการลมชัก หากอาการกำเริบ อาจชักกระตุกจนหมดสติไปได้ ซึ่งเกิดจากความผิดปกติของการส่งสัญญาณไฟฟ้าในสมอง จึงควรหลีกเลี่ยงการขับรถด้วยตนเอง
2. เป็นโรคพาร์กินสันหรือลมชัก
ผู้ป่วยพาร์กินสันจะมีอาการมือสั่น เท้าสั่น เกร็ง ทำอะไรช้า ขับรถได้ไม่ดี ถ้าอาการรุนแรงจะเกิดภาพหลอนร่วมด้วย หากขับรถอาจก่อให้เกิดอันตรายได้ หรือในผู้ที่มีอาการลมชัก หากอาการกำเริบ อาจชักกระตุกจนหมดสติไปได้ ซึ่งเกิดจากความผิดปกติของการส่งสัญญาณไฟฟ้าในสมอง จึงควรหลีกเลี่ยงการขับรถด้วยตนเอง
3. เป็นโรคเบาหวาน
ในกรณีที่อาการไม่รุนแรงยังสามารถขับรถได้ แต่หากอาการรุนแรง ห้ามขับรถโดยเด็ดขาด เพราะถ้าปริมาณน้ำตาลในเลือดต่ำ จะทำให้หน้ามืด ตาพร่ามัว ใจสั่น หมดสติได้ สำหรับผู้ที่อาการไม่รุนแรงถ้าจำเป็นต้องขับรถควรเตรียมลูกอม น้ำหวาน ทานระหว่างขับรถเพื่อป้องกันภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ
3. เป็นโรคเบาหวาน
ในกรณีที่อาการไม่รุนแรงยังสามารถขับรถได้ แต่หากอาการรุนแรง ห้ามขับรถโดยเด็ดขาด เพราะถ้าปริมาณน้ำตาลในเลือดต่ำ จะทำให้หน้ามืด ตาพร่ามัว ใจสั่น หมดสติได้ สำหรับผู้ที่อาการไม่รุนแรงถ้าจำเป็นต้องขับรถควรเตรียมลูกอม น้ำหวาน ทานระหว่างขับรถเพื่อป้องกันภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ
4. เป็นโรคหัวใจ
เมื่อมีอาการเครียดมากๆ จากการขับรถนาน รถติด หรือตกใจกับเหตุการณ์ที่เจอขณะขับรถ อาจทำให้เกิดอาการแน่นหน้าอก เจ็บหน้าอก หัวใจวายเฉียบพลัน นำไปสู่อุบัติเหตุร้ายแรงได้
4. เป็นโรคหัวใจ
เมื่อมีอาการเครียดมากๆ จากการขับรถนาน รถติด หรือตกใจกับเหตุการณ์ที่เจอขณะขับรถ อาจทำให้เกิดอาการแน่นหน้าอก เจ็บหน้าอก หัวใจวายเฉียบพลัน นำไปสู่อุบัติเหตุร้ายแรงได้
4. เป็นโรคหัวใจ
เมื่อมีอาการเครียดมากๆ จากการขับรถนาน รถติด หรือตกใจกับเหตุการณ์ที่เจอขณะขับรถ อาจทำให้เกิดอาการแน่นหน้าอก เจ็บหน้าอก หัวใจวายเฉียบพลัน นำไปสู่อุบัติเหตุร้ายแรงได้
5. เป็นโรคความดันโลหิตสูง
เมื่อต้องพบเจอกับความเครียดบนท้องถนน หากความดันขึ้นสูงมากๆ ก็อาจถึงขั้นหน้ามืดเป็นลม หรือที่ร้ายกว่านั้นคือเกิดเส้นเลือดในสมองแตกได้ ซึ่งเป็นอันตรายต่อทั้งผู้ขับขี่และผู้ใช้รถใช้ถนนคนอื่นๆ
5. เป็นโรคความดันโลหิตสูง
เมื่อต้องพบเจอกับความเครียดบนท้องถนน หากความดันขึ้นสูงมากๆ ก็อาจถึงขั้นหน้ามืดเป็นลม หรือที่ร้ายกว่านั้นคือเกิดเส้นเลือดในสมองแตกได้ ซึ่งเป็นอันตรายต่อทั้งผู้ขับขี่และผู้ใช้รถใช้ถนนคนอื่นๆ
6. มีอาการทางสมองหรือรับประทานยาที่ทำให้ง่วง
เช่น อาการหลงลืม หรือโรคสมองเสื่อมที่มักพบในผู้สูงอายุ ซึ่งจะทำให้จดจำเส้นทางไม่ได้ เกิดการตัดสินใจช้า และอาจเกิดปัญหาขับรถหลงทางในบางครั้ง หรือบางคนรับประทานยาที่มีผลข้างเคียงทำให้ง่วงซึม หรือมึนงง อาจทำให้การตอบสนองขณะขับขี่ไม่ดีเท่าเดิม ควรหลีกเลี่ยงการขับรถ
6. มีอาการทางสมองหรือรับประทานยาที่ทำให้ง่วง
เช่น อาการหลงลืม หรือโรคสมองเสื่อมที่มักพบในผู้สูงอายุ ซึ่งจะทำให้จดจำเส้นทางไม่ได้ เกิดการตัดสินใจช้า และอาจเกิดปัญหาขับรถหลงทางในบางครั้ง หรือบางคนรับประทานยาที่มีผลข้างเคียงทำให้ง่วงซึม หรือมึนงง อาจทำให้การตอบสนองขณะขับขี่ไม่ดีเท่าเดิม ควรหลีกเลี่ยงการขับรถ
6. มีอาการทางสมองหรือรับประทานยาที่ทำให้ง่วง
เช่น อาการหลงลืม หรือโรคสมองเสื่อมที่มักพบในผู้สูงอายุ ซึ่งจะทำให้จดจำเส้นทางไม่ได้ เกิดการตัดสินใจช้า และอาจเกิดปัญหาขับรถหลงทางในบางครั้ง หรือบางคนรับประทานยาที่มีผลข้างเคียงทำให้ง่วงซึม หรือมึนงง อาจทำให้การตอบสนองขณะขับขี่ไม่ดีเท่าเดิม ควรหลีกเลี่ยงการขับรถ
7. มีอาการปวดตามบริเวณต่างๆ
หากมีอาการปวดหลัง ปวดคอ บ่า ไหล่ หรือปวดข้อเข่า จะทำให้ขับรถได้ไม่เต็มที่ เพราะเวลาจะขยับตัวหันคอ หันหน้าดูการจราจรได้ลำบาก ควรหลีกเลี่ยงการขับรถทางไกลเป็นเวลานาน แต่หากจำเป็นต้องขับรถเวลานาน แนะนำให้ใช้ เบาะรองนั่งในรถยนต์ เพื่อช่วยให้ผ่อนคลาย นั่งขับรถได้สบายมากขึ้น
7. มีอาการปวดตามบริเวณต่างๆ
หากมีอาการปวดหลัง ปวดคอ บ่า ไหล่ หรือปวดข้อเข่า จะทำให้ขับรถได้ไม่เต็มที่ เพราะเวลาจะขยับตัวหันคอ หันหน้าดูการจราจรได้ลำบาก ควรหลีกเลี่ยงการขับรถทางไกลเป็นเวลานาน แต่หากจำเป็นต้องขับรถเวลานาน แนะนำให้ใช้ เบาะรองนั่งในรถยนต์ เพื่อช่วยให้ผ่อนคลาย นั่งขับรถได้สบายมากขึ้น
การขับรถนานจะไม่ปวดหลังอีกต่อไปถ้ามีตัวช่วย เราขอแนะนำ เบาะรองนั่งรถยนต์ รุ่น Firm ที่ช่วยปรับท่านั่งให้สบายและผ่อนคลายมากขึ้น รองรับร่างกายอย่างถูกต้องตามหลักสรีรศาสตร์ อย่าปล่อยให้ตัวเองต้องปวดเมื่อยนานๆ เพราะจะส่งผลต่อสุขภาพในระยะยาวได้
คลิกปุ่มด้านล่างเพื่อดูรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับเบาะรองนั่งรถยนต์ Firm
Chowa 초와 สินค้าเกี่ยวกับสุขภาพการนอนระดับพรีเมียมจากประเทศเกาหลี
ที่จะยกระดับการนอนและการพักผ่อนของคุณให้ดียิ่งขึ้น
คุณมีปัญหาปวดหลังอยู่หรือเปล่า？นั่นก็เพราะว่าคุณยังไม่เคยใช้สินค้าของ Chowa
Chowa โชวาอยากเห็นคนไทยมีคุณภาพชีวิตที่ดีเหมือนคนเกาหลี เพราะเราเชื่อว่าการดูแลสุขภาพเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด โชวาจึงเริ่มจากวิจัยการใช้ชีวิตของคนเกาหลี และนำเอานวัตกรรมเบาะรองนั่งของเกาหลีมาประยุกต์ใช้กับเบาะรองนั่งของเรา เราฝันอยากจะให้คนไทยได้ใช้สินค้าที่มีประสิทธิภาพและมาตรฐานเหมือนที่คนเกาหลีใช้
เซ็ตเบาะรองนั่งในรถยนต์รุ่น Firm เป็นเบาะรองนั่งที่จะช่วยให้การขับรถสบายมากขึ้น เบาะรองหลังทำจากวัสดุไฮเปอร์เมมโมรี่โฟม ส่วนเบาะรองนั่งทำจากวัสดุ Gelfirm ช่วยปรับท่านั่งขับรถให้ถูกตามหลักสรีรศาสตร์ ผ่อนคลายตั้งแต่แผ่นหลัง สะโพก ก้นกบ และต้นขา
ลูกค้าที่เคยใช้งานพูดถึงสินค้า Chowa ว่า…
“เป็นสินค้าพรีเมี่ยมที่ใช้ดีทุกชิ้นเลยจริงๆ การนอนดีขึ้นมากตั้งแต่เปลี่ยนมาใช้หมอนโชวา ซื้อไปฝากญาติพี่น้องทุกคนในครอบครัว ก็ติดใจกันหมด ใครที่ยังไม่เคยใช้บอกเลยว่าห้ามพลาดค่ะ ” — คุณ ภัทรพร
