• ทารก: 12 ถึง 16 ชั่วโมง (รวมเวลางีบหลับ)

• เด็กวัยหัดเดิน: 11 ถึง 14 ชั่วโมง (รวมเวลางีบหลับ)

• เด็กก่อนวัยเรียน: 10 ถึง 13 ชั่วโมง (รวมเวลางีบหลับ)

• นักเรียนชั้นประถมศึกษา: 9 ถึง 12 ชั่วโมง

• วัยรุ่น: 8 ถึง 10 ชั่วโมง

1. ทำเป็นกิจวัตรประจำวัน

การสร้างตารางเวลาที่แน่นอนและปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดจะเป็นประโยชน์สำหรับเด็กเล็ก เพราะเด็กๆ จะคุ้นชินกับการทำอะไรตามเวลา สร้างเป็นแพทเทิลการนอนที่แน่นอนทุกวัน เช่น อ่านหนังสือเรื่องโปรดให้ฟัง หรือเปิดโอกาสให้เขาเล่าเรื่องในแต่ละวันก่อนนอน จะทำให้พวกเขาตั้งตารอเวลาพิเศษก่อนนอนนั้น

2. บอกลาไอแพด

ไม่ควรเอาอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ไว้ในห้องนอน นอกจากจะเพิ่มแสงสีน้ำเงินที่รบกวนการนอนหลับแล้ว อุปกรณ์ที่เบี่ยงเบนความสนใจเหล่านี้มักจะส่งเสียงเตือนที่ดึงดูดความสนใจของเด็กๆ ได้ การหลีกเลี่ยงอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทุกชนิด จะทำให้เขานอนหลับอย่างมีคุณภาพมากกว่า

3. ทำให้เป็นกิจกรรมครอบครัว 

แม้ว่าคุณจะไม่ได้เข้านอนตอน 20.00 น. แต่การอาบน้ำ เปลี่ยนชุดนอนและแปรงฟันกับลูกๆ จะสร้างบรรยากาศให้พวกเขาหลับได้ง่ายขึ้น เพราะบางครั้งการเข้านอนเร็วอาจทำให้พวกเขารู้สึกว่าพลาดการทำกิจกรรมบางอย่างของครอบครัวไป การมาทำอะไรร่วมกันก่อนนอน จะทำให้พวกเขามีความสุขและยอมเข้านอนแต่โดยดี

4. การดูแลระดับห้าดาว 

ยิ่งห้องนอนดูน่าสบายมากเท่าไร ยิ่งทำให้พวกเขาอยากที่จะเข้านอนมากเท่านั้น ลองใช้ไฟสลัว ผ้าม่านทึบแสง อุณหภูมิที่เย็นสบาย กลิ่นหอม และเสียงเพลงที่ผ่อนคลาย ประกอบการผ้าปูนุ่มๆ หมอนคุณภาพดี สภาพแวดล้อมแบบนี้จะสร้างความรู้สึกสงบ ชวนง่วงนอน ไม่ทำให้เด็กรู้สึกกลัวหรือฝันร้าย ซึ่งอาจเป็นสาเหตุให้นอนไม่หลับได้

1. นอนไม่หลับ 

เด็กๆ ประสบปัญหานอนไม่หลับเช่นเดียวกับผู้ใหญ่ แต่ต่างจากผู้ใหญ่ตรงที่เด็กที่อดหลับอดนอนก็ยังคงมีพลังเหลือล้นและชอบกระโดดเด้งไปเด้งมา ซึ่งคนส่วนใหญ่มักเข้าใจผิดว่าเป็นโรคสมาธิสั้น แต่ความจริงแล้ว สามารถหายได้ด้วยการพักผ่อนอย่างมีคุณภาพ ตรวจสอบดูว่าห้องนอนของพวกเรามืดพอหรือไม่ เอาอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ไว้ในห้องนอนหรือเปล่า ลองเช็คพฤติกรรมการนอนเพื่อหาสาเหตุของปัญหาดู

2. ฝันร้ายและอาการหวาดผวาในตอนกลางคืน 

ฝันร้ายเป็นปัญหาทั่วไปที่ทำให้เด็กหลายคนนอนไม่หลับซึ่งมักเกิดจากความกังวลหรือไม่สบายใจระหว่างวันที่กลายเป็นฝันร้ายตอนกลางคืน ฉะนั้นเมื่อลูกบอกคุณว่าเขาฝันร้าย ให้ลองคุยกับเขาดูว่ามันเกิดจากอะไร ถามคำถามง่ายๆ ว่าแต่ละวันของเราเกิดอะไรขึ้นบ้าง นั่นอาจจะเผยให้เห็นถึงสิ่งที่ทำให้พวกเขากังวลหรืออารมณ์เสีย แล้วจึงแก้ปัญหาให้ถูกจุด

3. การเดินละเมอ

การเดินละเมอเป็นเรื่องปกติในวัยเด็ก อาจเกิดจากการนอนไม่พอ เครียด วิตกกังวล หรือเจ็บป่วยเฉียบพลัน (เช่น มีไข้ ปวดหัว ปวดท้อง) โดยทั่วไปการเดินละเมอไม่เป็นอันตรายต่อเด็ก (แม้ว่าอาจทำให้คุณตกใจที่เห็นลูกลุกขึ้นมาพูดกับกำแพงตอนตี 3) ไม่จำเป็นต้องพบแพทย์ เว้นเสียแต่ว่าลูกของคุณเดินละเมอเป็นประจำหรือมีพฤติกรรมที่เป็นอันตราย เช่น เดินละเมอออกไปนอกบ้าน

ดังนั้นอย่าลืมล็อคประตูและหน้าต่างในตอนกลางคืน หากพบว่าลูกนอนละเมอ คุณไม่จำเป็นต้องปลุกเขา คุณอาจจะแค่พาเขากลับไปที่เตียงก็ได้