1. นอนคว่ำ

แม้บางคนจะชอบนอนคว่ำเพราะรู้สึกผ่อนคลาย แต่ท่านี้จะทำให้กระดูกสันหลังแอ่นผิดปกติ และต้องบิดคอซ้ายหรือขวาตลอดเวลา เสี่ยงต่ออาการปวดคอ ปวดหลัง และหายใจลำบาก

แนะนำ: ถ้าจำเป็นต้องนอนคว่ำ ควรมีหมอนรองใต้หน้าอกหรือลำตัว เพื่อช่วยลดแรงกดและพยุงแนวกระดูกให้สมดุล

2. นอนขดตัวคุดคู้

ท่านอนที่ก้มคอ โค้งหลัง งอเข่า และพับสะโพก จะยืดกล้ามเนื้อหลังส่วนล่างอย่างต่อเนื่อง ทำให้ปวดเมื่อยและกล้ามเนื้ออักเสบได้ โดยเฉพาะผู้ที่มีปัญหาเรื่องหมอนรองกระดูก อาการจะกำเริบมากขึ้น

3. นอนแบบกึ่งนั่งกึ่งนอน

การเอนตัวพิงหมอนหรือโซฟา แล้วนอนเล่นโทรศัพท์ อ่านหนังสือ หรือดูทีวีเป็นเวลานาน ทำให้คอและหลังอยู่ในท่างอและแอ่นผิดธรรมชาติ เสี่ยงกล้ามเนื้ออักเสบที่คอ บ่า ไหล่ และหลังส่วนล่าง

แนะนำ: เปลี่ยนท่านั่งหรือนอนทุก 20–30 นาที หรือลองใช้หมอนพิงหลัง ที่มีองศารองรับกระดูกสันหลัง ซัพพอร์ตทุกอิริยาบถ

4. นอนทับแขนตัวเอง

การนอนทับต้นแขนทำให้เส้นประสาทเรเดียน (Radial nerve) ถูกกดทับ อาจนำไปสู่อาการข้อมือตก หรือ "Honeymoon palsy" ภาวะที่เส้นประสาทถูกกดทับเป็นเวลานาน ส่งผลให้เกิดอาการอ่อนแรงหรือเป็นอัมพาตของกล้ามเนื้อบริเวณที่เกี่ยวข้อง ซึ่งแม้จะไม่รุนแรง แต่ทำให้รู้สึกชาหรืออ่อนแรงได้หลายวัน

นอนหงาย

เป็นท่าที่ช่วยกระจายน้ำหนักได้ดี กระดูกสันหลังอยู่ในแนวตรง ลดความเสี่ยงจากการปวดหลัง ถ้ามีหมอนรองใต้เข่าจะช่วยลดการแอ่นของหลังส่วนล่างได้มากขึ้น

ข้อควรระวัง: ไม่เหมาะกับผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคหัวใจ โรคปอด ภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับ หรือนอนกรนรุนแรง

นอนตะแคง

ท่านอนตะแคงเหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการปวดหลังหรือชอบนอนแนบตัวไปข้างใดข้างหนึ่ง เพราะช่วยลดแรงกดบนกระดูกสันหลังได้ดี โดยเฉพาะเมื่อมีหมอนข้างรองระหว่างเข่า จะช่วยป้องกันการบิดตัวของสะโพกและหลังส่วนล่างได้อย่างมีประสิทธิภาพ

สิ่งสำคัญคือหมอนหนุนศีรษะต้องมีความสูงพอดี ไม่เตี้ยหรือสูงเกินไป เพื่อให้ศีรษะและกระดูกคออยู่ในแนวเดียวกับกระดูกสันหลัง หมอนลูน่า จาก Chowa เป็นทางเลือกที่ตอบโจทย์ เพราะออกแบบให้โค้งรับต้นคอและไหล่ได้อย่างพอดี ช่วยให้กระดูกสันหลังจัดแนวอย่างเหมาะสม และปรับความสูงได้ตามท่านอนของแต่ละคน